มองย้อนเวลา 13 ปี ความสำเร็จของยอดคน มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เจ้าพ่อเฟสบุ๊ค

เขียนโดย สุธีร์ นวกุล

หลายคนที่ได้ใช้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง Facebook น่าจะรู้จักกับหนุ่มคนนี้ดี  มาร์ก เอลเลียต ซักเคอร์เบิร์ก ถ้าไม่มีความคิดจากหนุ่มคนนี้เราคงไม่ได้เล่น Facebook กันเป็นแน่…

มาร์ก เอลเลียต ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Elliot Zuckerberg) หลายคนคงรู้จักหนุ่มคนนี้หรือคงจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง เป็นหนุ่มที่ประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าของเว็บไซต์เครือข่ายสังคมชั้นนำอย่าง Facebook ด้วยอายุเพียง 26 ปีเท่านั้น มาร์กเกิดวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 ที่ไวต์เพลนส์ รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา มาร์กเป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ , นักพัฒนาซอฟแวร์ และเป็นคนใจบุญ ซึ่งในปัจจุบันทำหน้าที่เป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เขาได้ร่วมก่อตั้งบริษัทเอกชนขึ้นในปี 2004 โดยร่วมกับเพื่อนร่วมชั้นอีก 3 คือชื่อ Dustin Moskovitz , Eduardo Saverin , และ Chris Hughes ในขณะที่พวกเขากำลังเป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มาร์กยังขึ้นปกนิตยสาร Time และรับเลือกให้เป็นบุคคลแห่งปี 2010 อีกด้วย

ประวัติชีวิตส่วนตัว

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กเกิดที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่มาเติบโตที่เมืองด็อบส์ เฟอร์รี รัฐนิวยอร์ก โดยบิดามีชื่อว่า เอ็ดเวิร์ด ซักเคอร์เบิร์ก มีอาชีพเป็นทันตแพทย์ ส่วนมารดานั้นชื่อ คาเรน ซักเคอร์เบิร์ก มีอาชีพเป็นจิตแพทย์ เขามีพี่น้องสี่คนคือ มาร์ก, Randi, Donna และ Arielle ขณะที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนอาร์ดสลีย์ไฮสคูล มาร์กมีความสามารถทางด้านการศึกษาศิลปะคลาสสิก

จากนั้้นก็ได้ย้ายไปเรียนระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนฟิลิปส์เอกเซกเตอร์อคาเดมี ขณะที่ศึกษาอยู่นั้นเบิร์กได้รับรางวัลทางวิทยาศาสตร์ (คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์) และศึกษาด้านศิลปะคลาสสิค นอกจากนี้ยังเรียนภาษาต่างประเทศ ซึ่งเบิร์กสามารถอ่าน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาฮิบรู ภาษาละติน และภาษากรีกโบราณ ได้ด้วย ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนเท่านั้นทางด้านกีฬาเบิร์กยังเป็นกัปตันทีมฟันดาบอีกด้วย

เบิร์กนั้นมีปัญหาเกี่ยวกับดวงตาเล็กน้อย โดยเป็นโรคตาบอดสีซึ่งจะมองสีแดงและสีเขียวได้ไม่ชัดเจนนัก แต่มองเห็นสีฟ้าได้ดีที่สุด ผู้อ่านจะสังเกตพบว่าในหน้าเว็บไซต์ Facebook นั้นจะเน้นสีฟ้าเป็นสีหลัก นี่แหละที่มาของสีบนหน้า Facebook นั่นเอง

ดูมาร์กจะเป็นคนที่ขยันและเรียนเก่งไม่ใช่เล่น แถมยังพูดได้หลายภาษาอีกด้วย จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าในอนาคตที่จะเกิดขึ้นเด็กหนุ่มคนนี้จะต้องมีสิ่งที่ดีๆเกิดขึ้นกับชีวิตที่สู้ไม่ถอย ไม่คอยวาสนาแบบนี้แน่นอน

ทางด้านงานพัฒนาซอฟต์แวร์

เบิร์กได้เริ่มใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเริ่มการเขียนซอฟต์แวร์ตั้งแต่ยังเป็นเด็กในช่วงสมัยประถมปลาย(ตอนนั้นเราหลายคนอาจยังไม่สนใจอะไร นอกจากการเล่นและเล่นไปวันๆ) พ่อของเบิร์กได้สอนให้ใช้โปรแกรมพื้นฐานของอาตาริ(Atari)ในช่วงปีค.ศ. 1990 และจากนั้นทางด้านคุณพ่อของเบิร์กก็ได้ว่าจ้างนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ชื่อ เดวิด นิวแมน มาสอนเป็นการส่วนตัว นิวแมนเรียกเขาว่า เด็กน้อยมหัศจรรย์ และกล่าวต่ออีกว่า ยากที่จะอยู่ล้ำหน้าเขาได้ ซักเกอร์เบิร์กยังเรียนคอร์สที่วิทยาลัยเมอร์ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านของมาร์กในขณะที่เรียนอยู่ในระดับไฮสคูล

จากตรงนี้จะพบว่าคุณพ่อของมาร์กได้มองเห็นอะไรบางอย่างในตัวลูกชาย จึงได้ปลูกฝัง หากผู้ช่วยอย่างนักพัฒนาซอฟต์แวร์มาประกบลูกชายเพื่อให้วาดผังแนวความคิด และจินตนาการที่ถูกที่ถูกเวลา ซึ่งพ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ลูกใช้งาน แต่ก็มักจะเล่มเกมซะเป็นส่วนใหญ่

มาร์กนั้นมีความสนุกกับการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องมือทางด้านการติดต่อสื่อสารและเกม หนึ่งในนั้นคือ โปรแกรมที่สร้างให้กับพ่อของมาร์กที่เป็นทันตแพทย์เพื่อให้สั่งงานจากที่บ้านได้ โปรแกรมที่สร้างชื่อ ซักเน็ต(ZuckNet.) โดยควบคุมการสื่อสารระหว่างเครื่องที่บ้านกับเครื่องที่สำนักงานทันตแพทย์ติดต่อกันได้ โดยระบบปิงหากัน ถือว่าเป็นเมสเซนเจอร์รุ่นดั้งเดิม ซึ่งในปีถัดมาก็ได้มีโปรแกรม AOL Instant Messenger ออกตามมา ต้องบอกเก่งมากเลยเขียนโปรแกรมใช้งานได้อย่างจริงจัง หลายคนคงแค่เขียนตามที่อาจารย์ให้การบ้าน และทำตอนใกล้สอบ สอบเสร็จก็คงจะลืมไม่สนใจจริงจัง หรือคิดว่าจะทำกันเป็นอาชีพ นับว่าคนที่ขยันและค้นพบตัวเองได้นั้น หรือค้นพบตัวเองได้เร็วก็ยิ่งได้เปรียบมากขึ้น ในการจัดการกับการเดินทางของชีวิต

ในช่วงระหว่างที่กำลังเรียนไฮสคูล มาร์กได้ทำงานกับบริษัทชื่อ อินเทลลิเจนต์ มีเดีย กรุ๊ป โดยสร้างโปรแกรมเล่นดนตรีที่เรียกว่า ไซแนปส์มีเดียเพลเยอร์ (Synapse Media Player) ซึ่งใช้การทำงานในแบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมการฟังเพลงของผู้ใช้งาน โปรแกรมนี้ได้ถูกโพสลงไปไว้ที่  โดยได้โพสต์ลงที่ Slashdot มีเว็บแอดเดรสอยู่ที่ http://slashdot.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์ข่าวสารทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ, วิทยาการ, นิยายวิทยาศาสตร์ และสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้มีส่วนร่วมในการส่งข่าวมายังเว็บไซต์และยังสามารถแสดงความคิดเห็นได้ ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวได้คะแนน 3 เต็ม 5 จากแม็กกาซีน พีซีแม็กกาซีน ทางไมโครซอฟท์และเอโอแอลพยายามจะซื้อโปรแกรมไซแนมป์และรับเบิร์กเข้าร่วมทำงานด้วย แต่เบิร์กเลือกที่จะสมัครเรียนที่ฮาวาร์ด

ในช่วงที่เรียนอยู่ที่ฮาวาร์ด มาร์กมีกิตติศัพท์ทางด้านความอัจฉริยะในการเขียนโปรแกรม โดยเขาศึกษาด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และจิตวิทยา นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิก อัลฟา เอปซิลอน ไพ(Alpha Epsilon Pi) สมาคมยิวในมหาวิทยาลัย (ซึ่ง Alpha Epsilon Pi เป็นวิทยาลัยพี่น้องชาวยิวที่มีอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาแคนาดาและอิสราเอล มีสมาชิกนักศึกษาระดับปริญญาตรีกว่า 8,500 คน)

พอเรียนชั้นปีที่ 2 ได้สร้างโปรแกรมจากห้องพักของเขาที่ชื่อ คอร์สแมตช์(CourseMatch) ที่ให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจเรื่องการเลือกเรียน

จากการตัดสินใจของนักเรียนคนอื่น และยังช่วยให้พวกเขารวมกลุ่มกันเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการเรียน ต่อมาจากนั้นไม่นาน มาร์กได้สร้างโปรแกรมที่แตกต่างไปจากเดิมชื่อ เฟซแมช(Facemash) โปรแกรมที่ให้ผู้ใช้งานได้เลือกหน้าผู้ใช้ที่หน้าตาดีที่สุดจากบรรดารูปภาพที่ให้มา เว็บไซต์เปิดในช่วงวันหยุด แต่พอถึงเช้าวันจันทร์ เว็บไซต์ก็ถูกปิดโดยมหาวิทยาลัย เพราะมีผู้เข้าไปใช้งานกันมากจนทำให้เซิร์ฟเวอร์ของฮาวาร์ดล่มและนักศึกษาจะถูกห้ามใช้เข้าเว็บไซต์นี้ นอกจากนั้นมีนักศึกษาหลายคนออกมาร้องเรียนเรื่องภาพที่ใช้ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งมาร์กก็ได้ออกขอโทษต่อสาธารณะ และหนังสือพิมพ์ของโรงเรียนจะพาดหัวเกี่ยวกับเว็บไซต์นี้ว่าเป็นเว็บที่่ไม่เหมาะสม

กำเนิด Facebook

ซักเคอร์เบิร์กได้เปิดตัวเฟซบุ๊กจากในห้องพักของเขาในมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 แรงบันดาลใจแรกของเว็บไซต์เฟซบุ๊กนั้นมาจากที่โรงเรียนฟิลิปส์เอกเซกเตอร์อคาเดมี ที่เขาเรียนจบในปี ค.ศ. 2002 โดยที่การอ้างถึงเว็บไซต์ของมาร์ก เดอะเฟซบุ๊ก(The Facebook) ประกอบไปด้วยรูปภาพของนักศึกษาหลายโรงเรียนซึ่งนักศึกษาสามารถที่จะเข้าไปใส่ข้อมูลต่างๆเช่น ชั้นปีที่ศึกษา เพื่อนใกล้ชิด หมายเลขโทรศัพท์ เป็นต้น

ในตอนแรกเฟซบุ๊กเริ่มต้นใช้งานแต่ในมหาวิทยาลัย จนกระทั่งมาร์กตัดสินใจที่จะกระขยายไปยังมหาวิทยาลับอื่น โดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมห้องที่ชื่อ ดัสติน มอสโควิตซ์ โดยเริ่มจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด, มหาวิทยาลัยดาร์ตเมาท์, มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย, มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก, มหาวิทยาลัยคอร์เนล, มหาวิทยาลัยบราวน์ และมหาวิทยาลัยเยล จากนั้นก็เข้าสู่โรงเรียนอื่นๆที่มีความสัมพันธ์กับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

ซักเคอร์เบิร์กได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองแพโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย กับมอสโควิตซ์และเพื่อนบางส่วน พวกเขาได้ดัดแปลงบ้านเช่าให้กลานเป็นสำนักงาน ในช่วงฤดูร้อนนั้น เบิร์กได้พบกับปีเตอร์ ทีล ที่ได้ให้ทุนกับบริษัท พวกเขาเริ่มก่อตั้งบริษัทครั้งแรกในกลางปี 2004 และปฏิเสธการเสนอขายเฟซบุ๊กกับบริษัทใหญ่

 

เดอะโซเชียลเน็ตเวิร์ก (The Social Network)

ความฮอตของมาร์ก ยังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Social Network ภาพยนตร์ที่สร้างมาจากชีวิตจริงของซักเคอร์เบิร์ก ในตอนที่เริ่มก่อตั้งเฟซบุ๊กเรื่อง The Social Network ฉายเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2010 นำแสดงโดยเจสซี ไอเซนเบิร์ก รับบทเป็น ซักเคอร์เบิร์ก

ภาพยนตร์เรื่อง The Social Network นั้นอิงมาจากหนังสือเรื่อง The Accidental Billionaires โดยเบน เมซริช ซึ่งมีการประชาสัมพันธ์ไว้ว่า สนุก, น่าสนใจ, มากกว่าการเป็น รายงาน ผู้เขียนบทภาพยนตร์ แอรอน ซอร์คิน บอกกับนิตยสารนิวอยร์กว่า ผมไม่ต้องการความถูกต้องแม่นยำ ผมต้องการเล่าเรื่อง ถ้าไปดูในโรงภายนตร์ไม่ทันก็รอแผ่นดีวีดีหรือวีซีดีมาสเตอร์กัน ก็จะทำให้เห็นการเกิดเว็บ Facebook และที่มาที่ไปของมาร์ก

 

บทสรุป

            ไม่ว่าจะคิดอะไรได้ก็อย่ามัวรีรอ เพราะสิ่งที่เราคิดนั้นอาจเป็นจุดเริ่มต้น หรือเป็นประโยชน์กับมวลมนุษย์ชาติก็ได้ ขอเพียงมีความฝัน ความตั้งใจที่จะลุยไปยังเป้าหมายที่ต้องการ ถ้าคิดนานเก็บไว้นานไอเดีย ความฝันมันก็จะไม่เป็นจริงและจะคงเป็นความฝันตลอดไป

อ่านบทความมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายแล้วหากต้องการติดตามข่าวสารหรือเป็นแฟนมาร์คให้ไปที่หน้า Facebook ของมาร์คได้ที่ http://www.facebook.com/pages/Mark-Elliot-Zuckerberg/155722291177 ไม่แน่ไอเดียและความคิดของมาร์คอาจจุดประกายให้คนไทยอย่างคุณกลายเป็นมาร์คคนต่อไปก็ได้…ใครจะไปรู้ ขอบคุณมาร์กที่มี Facebook ให้เราได้ใช้งานและได้รับประโยชน์จากเว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์ก